มารู้จัก “วัสดุปูพื้น” ยอดนิยม มีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง?
ปัจจุบันนี้มี “วัสดุปูพื้น” หลากหลายประเภทให้เจ้าของบ้านได้เลือกใช้ แต่ละชนิดมีจุดเด่นและคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป จึงต้องเลือกซื้อให้ตรงกับความต้องการในการใช้งานของเรา แต่จะเลือกอย่างไรดี ตาม KACHA มาทำความรู้จักวัสดุแต่ละประเภทกันเลยดีกว่า . . .
วัสดุปูพื้น มีอะไรบ้าง?
การเลือกวัสดุปูพื้น เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรละเลยเป็นอย่างยิ่ง เพราะบรรยากาศภายในห้อง และการใช้งานจะเป็นแบบไหน ขึ้นอยู่กับการเลือกวัสดุปูพื้นห้องโดยวัสดุปูพื้นมากมายหลายอย่างให้เลือกใช้ แต่ละประเภทก็ยังแบ่งได้อีกหลายแบบ หลายลวดลายให้เลือกใช้ มีดังนี้
-
พื้นไม้จริง
เป็นวัสดุที่ให้ความสวยงามมากที่สุดประเภทหนึ่ง ด้วยความที่มีลวดลายซึ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติ และให้ความรู้สึกในการสัมผัสที่ดี ไม้จริงจรึงเป็นที่นิยมมาอย่างยาวนาน อย่างไรก็ตามข้อควรระวังในการใช้ไม้จริง คือ ปัญหาเรื่องแมลง ปลวก และการยืดหดของไม้ตามสภาพอากาศ
ข้อดี
- ติดตั้งเร็ว
- ให้บรรยากาศอบอุ่น
- สวยงาม ดูเป็นธรรมชาติ
- เมื่อผิวเป็นรอย สามารถขัดและทำสีใหม่ได้
ข้อเสีย
- ราคาค่อนข้างสูง
- ระวังเรื่องปลวก
- ไม่ทนไฟ และไม่ทนต่อการลามไฟ
- มีการยืดหด ตามสภาพอากาศ
-
พื้นไม้ลามิเนต
พื้นไม้ลามิเนตค่อนข้างเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากค่อนข้างคล้ายกับไม้จริง มีความทนทาน ติดตั้งง่าย สะดวก รวดเร็ว และมีอายุการใช้งานเฉลี่ยถึง 10-15 ปี และพื้นไม้ลามิเนท จะมีไม้เป็นส่วนประกอบแค่บางส่วนเท่านั้น ขั้นตอนการผลิตเกิดจากการนำเศษไม้ หรือผงไม้บด มาผ่านกระบวนการบีบอัด และผสมสารสังเคราะห์ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความทนทาน จนได้เป็นแผ่นไม้แบบที่เราเห็นกัน
ข้อดี
- น้ำหนักเบา
- ติดตั้งง่าย
- มีสีและลวดลายให้เลือกหลากหลาย
- ทนทาน สวยงาม เหมือนไม้จริง
ข้อเสีย
- เป็นรอยง่าย
- ใช้ได้เฉพาะภายในอาคารเท่านั้น
- ระวังเรื่องปลวก และความชึ้น
- ไม่ควรทำความสะอาดด้วยแว็กซ์ น้ำยาขัดเงา หรือน้ำยาที่มีสบู่ผสม
-
พื้นไม้เอ็นจิเนียร์
เอ็นจิเนียร์ริ่งวูด เป็นพื้นไม้ที่มีลักษณะ รูปทรง และการใช้งานคล้ายคลึงกับไม้จริงมากที่สุด โดยมีโครงสร้างเลเยอร์มากกว่า 1 ชั้น จากการนำผิวหน้าไม้จริง ที่ต้องการมาประกบกับไม้ชนิดอื่น ๆ ที่มีความแข็งแรง เช่น ไม้อัด ไม้ยางพารา และไม้สน วิธีการเช่นนี้ จะทำให้ไม้เอ็นจิเนียร์ บิด งอ และแก้ปัญหาการยืดขยายตัวของไม้ผิวหน้าได้ดี
ข้อดี
- ติดตั้งง่าย ไม่ต้องขัดทำสี
- ทนต่อแรงกระแทก แรงขูดขีด
- เหมือนไม้จริง ผิวสัมผัสเรียบเนียน
- มีสีสัน ลวดลาย เนื้อไม้ให้เลือกหลากหลาย
ข้อเสีย
- ราคาสูง
- ไม่ทนต่อน้ำ และความชื้น
- ขัดผิวหน้าไม้ได้เพียง 1-2 ครั้ง
-
พื้นหินอ่อนและหินแกรนิต
พื้นหินอ่อนและหินแกรนิต เป็นวัตถุดิบที่ได้จากกระบวนการทางธรรมชาติ ดังนั้น จึงให้บรรยากาศของความหรูหรา มีระดับ และมีลวดลายสวยงาม โดยหินแกรนิตจะแข็งแรง ทนรอยขีดข่วนได้มากกว่าหินอ่อน แต่หินอ่อนจะให้ความรู้สึกหรูหรามากกว่า ส่วนมากนิยมใช้หินอ่อนและหินแกรนิตปูพื้นภายในอาคาร และมีเวลาใช้งานที่ยาวนานกว่า 10 ปี
จะเห็นได้ว่าในอดีตนิยมการใช้หินอ่อนย่างแพร่หลายจากสถานที่สำคัญต่างๆ แต่ในปัจจุบันกลับมีการใช้งานน้อยลง เพราะมีวัสดุอื่นทดแทนที่มีคุณสมบัติเทียบเท่าหรือใกล้เคียงกันในราคาที่ถูกกว่า
ข้อดี
- ติดตั้งง่าย
- ทำความสะอาดง่าย
- ทนทาน อายุการใช้งานยาวนาน
- หรูหรา เงางาม มีเอกลักษณ์
- ช่วยให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก เย็นสบาย
- ลวดลายสวยงาม
ข้อเสีย
- มีน้ำหนักมาก
- ราคาสูง
- ผิวสัมผัสลื่น เมื่อโดนน้ำ
- ไม่ทนต่อแรงขีดข่วน
- ไม่ทนต่อกรด
- เป็นรอยง่าย
- โดดแดดนาน ๆ สีอาจซีดได้
-
พื้นไม้พลาสติกคอมโพสิต
พื้นไม้พลาสติกคอมโพสิต หรือ WPC เป็นวัสดุปูพื้นที่มีส่วนผสมทั้งของไม้จริงและพลาสติก มีอายุใช้งานประมาณ 10 ปี ส่วนใหญ่จะถูกนำไปใช้ในงานปูพื้นภายนอก ไม่ว่าจะเป็นทางเดินในสวน ระเบียงภายนอก หรือปูพื้นรอบสระว่ายน้ำ เนื่องจาก WPC ทนแดด ทนฝน แข็งแรง ทนทาน อีกทั้งยังราคาไม่แพงด้วย
ข้อควรระวัง ก่อนเลือกซื้อ ควรดูว่าเป็น WPC ที่มีส่วนผสมของพลาสติกประเภทไหน ถ้าเป็น PVC จะไม่เหมาะสำหรับงานภายนอก ควรเป็น PP และ PE จะเหมาะสมกว่า
ข้อดี
- ทนต่อความชื้น
- ไม่ลามไฟ ไม่ติดไฟ
- ไม่มีมอด และแมลงรบกวน
- แข็งแรง ทนทาน
- รีไซเคิลได้
ข้อเสีย
- โดนแดดจัด ๆ สีอาจซีดได้
- ลวดลาย ผิวสัมผัส ไม่เหมือนไม้จริง
- ดูแลรักษา ซ่อมแซมยาก
- ไม่สามารถทาสีทับได้
-
กระเบื้องเซรามิก
โดยทั่วไปแล้วกระเบื้องเซรามิก จะแบ่งตามการใช้งานเป็นแบบปูพื้น และแบบกรุผนัง และยังแบ่งตามผิวเคลือบอีก 2 ชนิด ได้แก่ ชนิดเคลือบผิวมัน (Glossy) และผิวธรรมดา (Matt) ซึ่งแบบผิวธรรมดา ก็ยังแบ่งเป็นกระเบื้องผิวไม่หยาบ (Satin) และผิวหยาบ (Rustic) อีกด้วย
กระเบื้องเซรามิก มีสีสัน ลวดลาย ให้เลือกใช้หลากหลายตามการใช้งาน และทำมาจากส่วนประกอบจากวัตถุดิบธรรมชาติ เช่น ดิน หิน หรือแร่ต่าง ๆ เป็นหลัก ยิ่งไปกว่านั้นยังมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน เฉลี่ยมากกว่า 15 ปีขึ้นไป และสามารถใช้ได้ทั้งงานภายในและภายนอกอาคาร
ข้อดี
- ทำความสะอาดง่าย
- ราคาไม่แพง หาซื้อง่าย
- มีลวดลายให้เลือกหลายแบบ
- แข็งแรง ทนทาน ใช้งานได้มากกว่า 10 ปี
- ทนต่อความชื้น ความร้อน
- ไม่ติดไฟ ไม่ลามไฟ ไม่นำไฟฟ้า
ข้อเสีย
- รีไซเคิลไม่ได้
- ดูดซับน้ำสูง ทำให้พื้นลื่นกว่าวัสดุอื่น ๆ
- ดูแลรักษา ซ่อมแซมยาก
- รับน้ำหนักมากไม่ได้ อาจทำให้ปริ แตก หรือร้าวได้
-
กระเบื้องกระเบื้องยาง หรือไวนิล
กระเบื้องยางเป็นวัสดุที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ (ยางพารา) และวัสดุสังเคราะห์อย่างโพลีเมอร์ (ไวนิล พีวีซี โพลียูรีเทน เป็นต้น) มีสีสันใกล้เคียงกับธรรมชาติ และเป็นวัสดุปูพื้นที่ราคาเป็นมิตร ดูแลรักษาง่าย ทนความชื้น มีอายุใช้งานประมาณ 10-15 ปี
นอกจากนั้น จุดเด่นของกระเบื้องยาง คือ ติดตั้งสะดวก มีระบบคลิ๊กล็อค และแผ่นกาวในตัว จึงติดตั้งง่าย ถอดง่าย และรื้อง่าย สามารถรียูส และนำกระเบื้องไปใช้ในพื้นที่บริเวณอื่นได้ด้วย
ข้อดี
- ทนความชื้น ความร้อน และแมลง
- กระเบื้องบางชนิด สามารถติดเองได้ โดยไม่ต้องใช้ยาแนว
- มีพื้นผิว ลวดลายหลากหลาย
- ใช้ได้ทั้งภายใน และภายนอก
- มีการยึดเกาะดี ช่วยลดการลื่น
ข้อเสีย
- เป็นรอยง่าย
- ไม่ทนกรด ด่าง และสารเคมีบางประเภท
การเลือกวัสดุปูพื้น เพื่อการใช้งานนั้น ควรเลือกที่เหมาะสมกับรูปแบบของพื้นที่สภาพแวดล้อมในห้องที่จะติดตั้งด้วย เพราะในระยะยาวหากวัสดุที่ใช้ไม่มีคุณภาพ จะเป็นเกิดปัญหาในการแก้ไข การซ่อมแซม ทำให้เสียเวลา เสียความรู้สึก ทำให้ระยะยาวอาจจะแพงกว่าการซื้อวัสดุที่ได้มาตรฐานและคุณภาพดีนั่นเอง