
รู้จัก ประเภทของหลอดไฟ มีกี่แบบ ใช้งานอย่างไรบ้าง?
“หลอดไฟ” ???? เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ทุกคนคุ้นเคยกัน ตัวช่วยส่องแสงสว่างในตอนกลางคืน ที่ทุก ๆ บ้านจะต้องมีกันอย่างแน่นอน บทความนี้ KACHA จะพาไปรู้จักกับ ประเภทหลอดไฟ หลายชนิดหลายขนาดให้เลือกใช้ ว่าแต่จะมีอะไรกันบ้างนั้น ตามไปดูกัน
ประเภทของหลอดไฟ
ในปัจจุบันประเทศเรา มีการใช้หลอดไฟมากมายหลายประเภทไปตามยุคตามสมัย บางชนิดนิยมใช้มาเป็นระยะเวลายาวนาน บางชนิดเช่น หลอด LED ก็เพิ่งมานิยมใช้งานเมื่อไม่กี่ปี และเนื่องจากมีการพัฒนานวัตกรรมมากมายเกี่ยวกับด้านการประหยัดพลังงาน จนกลายมาเป็น หลอด LED ล่าสุดที่นิยมใช้งานกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบันนั่นเอง
- หลอดไส้ (Incandescent Lamp) เป็นหลอดไฟที่มีการใช้งานมานานมาก มีอีกชื่อที่เรียก คือหลอดดวงเทียน เพราะมีแสงแดง ๆ คล้ายแสงเทียน หลาย ๆ คนน่าจะคุ้นเคยกับหลอดชนิดนี้กันเป็นอย่างดี มีทั้งชนิดแบบแก้ว และฝ้า ไส้หลอดทำมาจากทังสเตนให้ความร้อนสูง หลักการทำงาน คือ กระแสไฟฟ้าจะผ่านไส้หลอดเปลี่ยนจากพลังงานไฟฟ้าเป็นความร้อน เมื่อไส้หลอดร้อนจะเปล่งแสงออกมา หลอดไส้นั้นมีข้อเสีย คือ เมื่อมีความร้อนสะสมมาก ๆ อายุการใช้งานจะยิ่งสั้นลง โดยกินไฟมาก เนื่องจากสูญเสียไปกับความร้อนที่เกิดขึ้น

- หลอดฟลูออเรสเซนต์ (Fluorescent tube) หรือหลอดเรืองแสง ให้แสงสว่างมากกว่าหลอดไส้ถึง 5 เท่า อายุการใช้งานนานกว่าหลอดไส้ประมาณ 7-8 เท่าตัว โดยตัวหลอดมีไส้โลหะทังสเตนติดอยู่ที่ปลายทั้ง 2 ข้าง ของหลอด ผิวภายในฉาบด้วยสารเรืองแสง โดยมีการใส่ไอปรอทไว้เล็กน้อย หลักการทำงาน คือ เมื่อกระแสไฟฟ้าใหลผ่านปรอท จะคายพลังงานในรูปแบบรังสีอัลตราไวโอเลต เมื่อกระทบสารเรืองแสงที่ฉาบไว้ หลอดก็จะเปล่งแสงออกมา อายุการใช้งานมีตั้งแต่ 6000 ถึง 20000 ชั่วโมง
- หลอดฮาโลเจน (Halogen) พัฒนามาจากหลอดไส้ ที่ใช้ก๊าซฮาโลเจนบรรจุภายใน ทำให้ทนทานกว่าหลอดไส้ปกติ ให้ค่าความถูกต้องของสีถึง 100 % มักใช้กับพื้นที่ที่ต้องการแสงสว่างเป็นพิเศษ เช่น พื้นที่งานแสดงสินค้า มุมอับของบ้านห้องทำงาน อายุการใช้งาน 1500-3000 ชั่วโมง

- หลอดเมทัลฮาไลด์ (Metal halide) เป็นหลอดที่จัดอยู่ในกลุ่มให้ความเข้มแสงสูง หลักการทำงาน คือ Arc ไฟฟ้าวิ่งผ่านก๊าซในโคมไฟ หลอด arc ที่มีขนาดเล็ก จะผสมกับแรงดันสูงของอาร์กอน ปรอท และความหลากหลายของโลหะผสมกัน ทำให้เกิดสีสันต่าง ๆ ความร้อนที่เกิดขึ้นจากการแตกตัวของปรอท และไอโลหะที่ผลิตไฟนี้ จะทำให้ อุณหภูมิ และความดันเพิ่มขึ้น หลอดเมทัลฮาไลด์ จึงทำงานภายใต้ความดัน และอุณหภูมิสูง ส่วนใหญ่จะใช้ส่องสว่างในสนามกีฬา ใช้เป็นไฟสาดอาคาร เพื่อเน้นความสวยงาม โดยมีอายุการใช้งานถึง 24000 ชั่วโมง
- หลอดแสงจันทร์ หรือ หลอดไฟไอปรอท หลอดประเภทนี้ ทำงานด้วยการปล่อยประจุความเข้มข้นสูง หลักการทำงาน คือ ใช้ไฟฟ้าแรงสูงกระโดดผ่านไอปรอทที่อยู่ภายในหลอด เพื่อให้เกิดแสงสว่าง มีอายุการใช้งานประมาณ 24000 ชั่วโมง มีค่าความถูกต้องของสีค่อนข้างต่ำ ให้แสงสีขาวค่อนข้างเข้ม แสงจะออกนวลมีปริมาณแสงสว่างต่อวัตต์สูงกว่าหลอดชนิดอื่น ๆ แสงส่องสว่างได้ไกลเหมาะกับ โรงงาน โกดังสินค้า สนามกีฬา

- หลอดคอมแพคต์ฟลูออเรสเซนต์ หรือหลอดตะเกียบ มีการทำงานคล้ายหลอดฟลูออเรสเซนต์ ที่เราคุ้นหน้าคุ้นตา คือ”หลอดตะเกียบ” ซึ่งมีแบบที่บัลลาสต์ในตัว และแบบอยู่ภายนอก มีรูปร่างที่หลากหลาย เช่น แบบเกลียว แบบหลอด แบบหลอดสี่แถวเป็นต้น โดยจะมีอายุการใช้งานที่มากกว่าหลอดฟลูออเรสเซนต์

- หลอด LED โดยหลอดไฟ LED ถือว่าได้รับการพัฒนามาจากเทคโนโลยีในยุคใหม่ ๆ หลักการทำงานจะต่างจากหลอดทั่ว ๆ ไป โดยแสงสว่างเกิดขึ้นจากการเคลื่อนของอิเล็กตรอนภายในสารกึ่งตัวนำหลอด LED ลดจุดด้อยต่าง ๆ ของหลอดไฟที่ผ่านมา เช่น เรื่องความร้อน เนื่องจากไม่มีการเผาไส้หลอด มีอายุการใช้งานที่นาน 50000 ชั่วโมง ใช้ Watt น้อยแต่ให้แสงสว่างมากกว่า ถนอมสายตา เนื่องจาก มีการกระพริบของหลอดน้อยมาก ไม่มีสาร UV ทั้งยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
โทนสีของแสง เป็นอย่างไร?
หากสังเกตให้ดี จะพบว่าแสงที่สว่างออกมาจากหลอดไฟแต่ละดวงนั้น มีโทนสีที่แตกต่างกัน และแต่ละโทนก็ให้ความรู้สึกทางอารมณ์ และสร้างบรรยากาศให้ห้องนั้น ๆ เป็นไปในทิศทางที่ต่างกัน และยังส่งผลต่อประสิทธิภาพในการมองเห็นด้วย
สีของแสง หรือเรียกอีกอย่างว่า อุณหภูมิสี (Color Temperature) มีหน่วยเป็นเคลวิน (Kelvin) คือ ค่าที่บอกเราว่าแสงที่ได้มีความขาวบริสุทธิ์มากน้อยแค่ไหน ถ้าหลอดไฟมีค่าอุณหภูมิสีของแสงน้อย แสงที่ได้จะออกมาในโทนสีเหลือง แต่ถ้าค่าอุณหภูมิสีของแสงสูงขึ้น แสงที่ได้จะออกมาในโทนสีขาว หรือสีขาวอมฟ้า ซึ่งหลอดไฟที่จำหน่ายอยู่ในท้องตลาดทั่วไปมีให้เลือกอยู่ 3 โทนสีหลัก คือ
|
|
|
การใช้งานของทั้ง 3 โทนสีนี้ ยังสามารถผสมผสานรวมกัน เพื่อไม่ให้โทนสีใดสีหนึ่งเด่นเกินไปได้อีกด้วย เช่น ใช้หลอดไฟ Warm White และ Cool White ในห้องทานข้าว จะช่วยให้บรรยากาศดูอ่อนโยน ในขณะที่อาหารก็ดูน่ารับประทานยิ่งขึ้น หรือใช้หลอดไฟ Warm White เพื่อเน้นเฟอร์นิเจอร์ให้ดูโดดเด่นท่ามกลางแสง Daylight เป็นต้น
เลือกหลอดไฟแบบไหนประหยัดที่สุด
หลอดไฟเป็นอุปกรณ์ที่มีอายุ หรือรอบการใช้งาน เมื่อเสื่อมสภาพก็ต้องซื้อหลอดใหม่มาเปลี่ยน ดังนั้น หากจะพูดถึงความประหยัดหรือความคุ้มค่าแล้วนั้น นอกจากพลังงานที่ใช้คงต้องนำเรื่องของอายุการใช้งานมาเป็นส่วนประกอบด้วย รวมไปถึงราคาและการให้ความสว่าง
หลอดไฟที่ประหยัด และคุ้มค่าที่สุดในปัจจุบัน คงต้องยกให้หลอดไฟแอลอีดี (LED) ในสมัยที่หลอดไปแอลอีดีถูกคิดค้นขึ้นมาแรก ๆ มีราคาค่อนข้างสูง ทำให้คนไม่นิยมเลือกใช้ถึงแม้ว่าจะมีอายุการใช้งานนานกว่าหลอดไฟแบบอื่น ๆ แต่ปัจจุบันได้มีการพัฒนาให้หลอดไฟแอลอีดี (LED) มีราคาที่ถูกลง ไม่ต่างจากหลอดประเภทอื่นมากนัก
นอกจากเรื่องของราคาที่ไม่แตกต่างจากหลอดไฟแบบอื่น ๆ มาก หลอดไฟแบบแอลอีดี (LED) ยังประหยัดพลังงานได้ถึง 90% เมื่อเทียบกับหลอดไฟแบบหลอดไส้ และประหยัดพลังงานมากกว่าหลอดตะเกียบถึง 40% แถมอายุการใช้งานมากกว่าหลอดไฟแบบหลอดไส้ถึง 15 เท่า
ข้อดีของหลอดไฟแอลอีดี (LED) เมื่อเทียบกับแบบอื่น ๆ คือ เป็นหลอดไฟที่ไม่ปล่อยรังสียูวี ทำให้ปลอดภัยต่อผิวของเรา รวมทั้งให้แสงสว่างที่ถูกต้อง ชัดเจน ทำให้สีวัตถุไม่เพี้ยน และบางรุ่นก็สามารถปรับโทนสีได้ นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มที่จะถูกพัฒนาให้ใช้พลังงานน้อยลงเรื่อย ๆ อีกด้วย

เลือกหลอดไฟต้องดูอะไรบ้าง?
หลาย ๆ คนมักเข้าใจผิดว่าการจะเลือกหลอดไฟให้ดูที่วัตต์ ยิ่งวัตต์มากยิ่งสว่าง แต่จริง ๆ แล้ววัตต์เป็นหน่วยของพลังงานที่ใช้ ยิ่งมากแปลว่ายิ่งกินไฟ การที่เราจะเลือกหลอดไฟมาใช้มีองค์ประกอบต่าง ๆ ที่เราต้องนำมาพิจารณาอยู่หลายตัวด้วยกัน
- ค่าพลังงาน: มีหน่วยเป็นวัตต์ที่เราเห็นบนกล่องหลอดไฟ เป็นค่าพลังงานที่ใช้ ยิ่งวัตต์สูง ยิ่งทำให้ใช้ไฟฟ้ามากตามไปด้วย
- ค่าฟลักซ์แสงสว่าง: มีหน่วยเป็นลูเมน (Lumen) เป็นหน่วยวัดความสว่างของแสงที่เปล่งออกมา ยิ่งมากแสดงว่าหลอดไฟดวงนี้ให้แสงสว่างมาก
- ค่าประสิทธิภาพ: หรือเรียกว่า Efficacy เป็นการนำค่าแสงสว่าง (ลูเมน) มาหารด้วยค่าพลังงาน (วัตต์) ค่าที่ออกมา แปลได้ว่า หลอดไฟหลอดนี้ใช้พลังงาน 1 วัตต์ ให้แสงสว่างกี่ลูเมน ยิ่งสูงแปลว่า 1 วัตต์ให้แสงสว่างเยอะ ทำให้คุ้มค่ามากยิ่งขึ้น
นอกจากเลือก หลอดไฟ ประเภทหลอดไฟ และโทนสีของแสงหลอดไฟแล้ว เรายังจำเป็นต้องพิจารณาถึงกำลังในการกินไฟ หรือที่เรียกว่าจำนวนวัตต์ (Watt หรือ W) ให้เหมาะสมเพื่อที่จะใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและประหยัดค่าไฟในอนาคต เพราะยิ่งวัตต์มาก แสงที่ได้ก็สว่างมาก และกินไฟมากด้วยเช่นกัน รู้อย่างนี้แล้ว อย่าลืมเลือกซื้อหลอดไฟให้ตรงตามความต้องการและการใช้งานด้วย
เพื่อไม่ให้พลาดข่าวสารสำคัญ และโปรโมชั่นพิเศษมากมาย สามารถติดตามเราผ่านช่องทางต่างๆได้หลากหลายช่องทางตามด้านล่างนี้เลย
บทความที่เกี่ยวข้อง
พลาสติก PE คืออะไร? รู้จักประเภท คุณสมบัติ และการใช้งานที่ควรรู้
30 กรกฎาคม 2025
พลาสติก PP คืออะไร? รวมคุณสมบัติและการใช้งาน
30 กรกฎาคม 2025
มือใหม่ต้องรู้! หัวไขควงแบบต่างๆ มีอะไรบ้าง ใช้ต่างกันยังไง
30 มิถุนายน 2025
ไขข้อสงสัย! น็อตคืออะไร น็อตมีกี่ประเภท
30 มิถุนายน 2025
10 อุปกรณ์ป้องกันน้ำท่วม ที่ควรมีไว้ติดบ้านก่อนน้ำจะมา
9 มิถุนายน 2025
แม่แรงไฮดรอลิค คืออะไร มีแบบไหนบ้าง?
9 มิถุนายน 2025
บทความที่น่าสนใจ
พลาสติก PE คืออะไร? รู้จักประเภท คุณสมบัติ และการใช้งานที่ควรรู้
30 กรกฎาคม 2025
พลาสติก PP คืออะไร? รวมคุณสมบัติและการใช้งาน
30 กรกฎาคม 2025
มือใหม่ต้องรู้! หัวไขควงแบบต่างๆ มีอะไรบ้าง ใช้ต่างกันยังไง
30 มิถุนายน 2025
ไขข้อสงสัย! น็อตคืออะไร น็อตมีกี่ประเภท
30 มิถุนายน 2025
10 อุปกรณ์ป้องกันน้ำท่วม ที่ควรมีไว้ติดบ้านก่อนน้ำจะมา
9 มิถุนายน 2025
แม่แรงไฮดรอลิค คืออะไร มีแบบไหนบ้าง?
9 มิถุนายน 2025