วิธีใช้เครื่องรัดกล่อง ระบบกึ่งอัตโนมัติ – KACHA

เครื่องรัดกล่อง ระบบกึ่งอัตโนมัติ (แนวตั้ง) KACHA ออกแบบมาเพื่อเป็นตัวช่วยในการแพ็คสินค้าให้สะดวกและรวดเร็วขึ้น เหมาะสำหรับผู้ประกอบการที่มีปริมาณการจัดส่งสินค้าระดับปานกลาง เช่น ร้านค้าออนไลน์ โรงงานขนาดเล็ก ไปจนถึงสายงานผลิต SME ทั่วไป (หากเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ แนะนำเครื่องรัดกล่องรุ่น อัตโนมัติ) และเพื่อให้ทุกท่านได้ใช้งานเครื่องได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ วันนี้เราจะพาไปดู วิธีใช้เครื่องรัดกล่อง รุ่นกึ่งอัตโนมัติ แบบละเอียด

1. Power – ปุ่มเปิด-ปิดเครื่อง
   ใช้สำหรับเริ่มต้นหรือหยุดการทำงานของเครื่องรัดกล่อง

2. Tension – ปรับระดับแรงรัดสาย
   แนะนำให้เริ่มต้นที่ระดับ 1 หากสายรัดยังไม่แน่นเพียงพอ ค่อย ๆ ปรับเพิ่มตามความเหมาะสม

3. Cool Time – ตั้งเวลาการเชื่อมสายรัด
   ปกติตั้งไว้ที่ระดับ 2–3 ขึ้นอยู่กับขนาดของสายรัดที่ใช้ ยิ่งสายหนาอาจต้องเพิ่มเวลาเพื่อให้เชื่อมติดแน่นขึ้น

4. Length Addition – ปรับความยาวของสายรัด
   ใช้สำหรับกำหนดความยาวของสายที่ปล่อยออกมาให้พอดีกับขนาดกล่องหรือสินค้า

5. Feed/Reset – ปุ่มปล่อยสายรัด
   เมื่อกดปุ่มนี้ สายรัดจะถูกปล่อยออกมาเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการรัดกล่องครั้งต่อไป

ใส่สายรัดเข้าไปในเครื่อง ตัวล็อกอยู่ฝั่งขวา

ร้อยสายรัดผ่านขาเบรกและประตู

สอดสายรัดเข้ากับช่องประตูด้านบน

กดปุ่ม Feed/Reset เพื่อดึงสายออกมา

วางกล่อง จับสายพาดกล่อง แล้วสอดลงช่อง

เครื่องจะรัดกล่องอัตโนมัติ

รัดกี่ครั้งก็ได้ตามต้องการ

เสร็จเรียบร้อย พร้อมส่งออก

ไม่ว่าจะกล่องเล็กใหญ่ก็รัดได้

บรรจุภัณฑ์แบบไหนก็ตอบโจทย์

เครื่องรัดกล่องกึ่งอัตโนมัติ KACHA

เร็ว ประหยัดแรง คุ้มค่า ครบจบในเครื่องเดียว! เพียง 14,900.- เท่านั้น! ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพงานแพ็คกล่องได้สูงสุดถึง 300 กล่อง/ชั่วโมง

คุณสมบัติเด่น

•  ระบบกึ่งอัตโนมัติ ใช้งานง่าย เหมาะกับทุกธุรกิจ
•  รองรับงานแพ็คสินค้า บรรจุภัณฑ์ กล่องพัสดุ รัดกล่องสินค้าทุกชนิด
• โครงสร้างแข็งแรง ผลิตจากเหล็กพิเศษทนทาน
• มอเตอร์ 2 ตัว กำลังสูงถึง 3,000 W
• แรงรัดแน่นสูงสุด 45 Kgf
•  ปรับความร้อน และเวลาในการเชื่อมสายรัดได้ตามต้องการ
• เคลื่อนย้ายสะดวก พร้อมล้อเลื่อนในตัว

เหมาะกับธุรกิจออนไลน์ โรงงาน คลังสินค้า และร้านค้าทั่วไป  ใช้งานง่าย ไม่ต้องมีประสบการณ์มาก ก็ใช้งานได้ทันที อย่าปล่อยให้การแพ็คกล่องช้า ทำงานไม่ทันออเดอร์
ลงทุนแค่ครั้งเดียว คุ้มค่าใช้ยาวนาน!

สายรัดพลาสติก เป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้เครื่องรัดกล่องทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเลือกประเภทสายรัดให้เหมาะสมกับการใช้งานจึงสำคัญมากค่ะ

สายรัดพลาสติก สายรัดกล่อง (Plastic Strapping) คือ วัสดุที่ใช้สำหรับรัดกล่องหรือรัดสินค้าเพื่อความมั่นคง ป้องกันสินค้าหลุดหรือกระจัดกระจายระหว่างขนส่ง ส่วนใหญ่จะใช้ร่วมกับ เครื่องรัดกล่อง หรือใช้กับเครื่องมือรัดแบบมือโยกก็ได้ 

สายรัดพลาสติกนิยมใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมการผลิต, การขนส่งโลจิสติกส์, คลังสินค้า รวมถึงร้านค้าออนไลน์ที่ต้องการบรรจุภัณฑ์ที่แข็งแรง มั่นใจได้ว่าสินค้าถึงมือลูกค้าอย่างปลอดภัยนั่นเองค่ะ

วัสดุที่ใช้ผลิตสายรัดพลาสติกส่วนมากจะเป็น พลาสติก PP (Polypropylene) และ PET (Polyester) ซึ่งมีคุณสมบัติทนทาน ยืดหยุ่นสูง รับแรงดึงได้ดี ซึ่งสายรัดพลาสติกสามารถใช้ได้กับทั้งเครื่องรัดกล่องแบบกึ่งอัตโนมัติ อัตโนมัติ และเครื่องรัดมือโยก ขึ้นอยู่กับขนาดและชนิดของสายรัดที่เลือกใช้

1. สายรัดพลาสติก PP (Polypropylene Strapping)
   • เป็นที่นิยมมากที่สุด น้ำหนักเบา ยืดหยุ่นได้ดี รับแรงดึงได้พอประมาณ มีหลายสี หลายขนาด
   • เหมาะสำหรับ รัดกล่องกระดาษ สินค้าทั่วไปที่มีน้ำหนักไม่มาก เช่น กล่องบรรจุภัณฑ์ กล่องพัสดุ สินค้าอุปโภคบริโภค
   • จุดเด่น คือ ราคาประหยัด หาซื้อง่าย เหมาะกับงานแพ็คกิ้งทั่วไป
2. สายรัดพลาสติก PET (Polyester Strapping)
   • แข็งแรง ทนทาน รับแรงดึงได้สูงมาก ใกล้เคียงกับสายรัดเหล็ก ไม่ยืดตัวง่าย ทนต่อสภาพอากาศและรังสียูวีได้ดี
   • เหมาะสำหรับ รัดสินค้าที่มีน้ำหนักมาก ต้องการความแข็งแรงเป็นพิเศษ เช่น อิฐ ไม้ เหล็ก สินค้าอุตสาหกรรม ลังสินค้าขนาดใหญ่
   • เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าสายรัดเหล็ก เพราะไม่เป็นสนิมและลดความเสี่ยงจากการบาดมือ

• เลือกตามน้ำหนักของสินค้า สินค้าน้ำหนักเบาใช้ PP ได้เลย แต่ถ้าน้ำหนักมาก ๆ แนะนำ PET
• เลือกตามขนาดของเครื่องรัดกล่อง เครื่องรัดกล่องแต่ละรุ่นรองรับขนาดสายรัดพลาสติกที่แตกต่างกัน ควรตรวจสอบสเปกเครื่องก่อนซื้อสายรัด
• เลือกตามงบประมาณ สายรัด PP มีราคาถูกกว่า PET
• เลือกตามสภาพแวดล้อมในการจัดเก็บ/ขนส่ง หากต้องเผชิญกับสภาพอากาศแปรปรวนหรือความชื้นสูง สายรัด PET จะทนทานกว่า