
อัปเดตเมื่อ วันที่ 11 พฤศจิกายน 2025
Spare Part คืออะไร? ไขทุกข้อสงสัย ทำไม “อะไหล่สำรอง” จึงสำคัญกว่าที่คิด!
ทุกคนคิดว่า หากชิ้นส่วนเล็ก ๆ ชิ้นหนึ่ง เกิดพังขึ้นมา จะเกิดปัญหาอะไรตามมาบ้างคะ? บอกเลยว่าอาจทำให้รถเสีย เครื่องจักรพัง อาจทำให้สายการผลิตต้องหยุดทั้งโรงงานได้เลย 🤯 ซึ่งจะเสียเวลาและเกิดปัญหาใหญ่อื่น ๆ ตามมาอย่างแน่นอน ในสถานการณ์แบบนี้ Spare Part หรือ อะไหล่สำรอง จะเข้ามาเป็น “พระเอก” ผู้ช่วยเหลือทุกคนค่ะ
หลายคนอาจมองว่าอะไหล่ก็แค่ ของสำรอง แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันคือ หัวใจสำคัญ ที่คอยรับประกันความต่อเนื่องของการทำงานของเครื่องใช้ในประจำวันไปจนถึงการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมขนาดมหึมา บทความนี้เลยจะพาไปเจาะลึกว่าแท้จริงแล้ว Spare Part คืออะไร? มีความสำคัญแค่ไหน และเกี่ยวข้องกับชีวิตของเราอย่างไรบ้าง พร้อมแล้วก็เลื่อนไปอ่านกันเลยค่ะ!!
Spare Part คือ อะไร?

Spare Part คือ ชิ้นส่วนที่เตรียมไว้เพื่อใช้ทดแทนชิ้นส่วนเดิมที่เสียหาย สึกหรอ หรือหมดอายุการใช้งาน ของเครื่องมือ เครื่องจักร หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือการทำให้อุปกรณ์นั้น ๆ สามารถกลับมาใช้งานได้ตามปกติอย่างรวดเร็วที่สุด
อธิบายง่าย ๆ มันก็คือ อะไหล่สำรอง ที่มีไว้รอซ่อมอุปกรณ์หรือเครื่องจักร ให้สามารถกลับมาใช้งานได้อย่างรวดเร็วที่สุด ลดเวลาหยุดผลิต (Downtime) และลดความเสียหายทางธุรกิจนั่นเองค่ะ
ประเภทของ Spare Parts
Spare Part ไม่ได้มีแค่ชนิดเดียวนะคะ แต่ Spare Parts สามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ตามลักษณะการใช้งานและความสำคัญได้ ดังนี้
อะไหล่สิ้นเปลือง (Perishable Spare Parts)

เป็นชิ้นส่วนที่มีอายุการใช้งานจำกัด ใช้แล้วหมดไป และถูกออกแบบมาให้ต้องเปลี่ยนตามรอบเวลาที่กำหนด (Preventive Maintenance) ตัวอย่างเช่น ไส้กรองน้ำมัน, ไส้กรองอากาศ, น้ำมันหล่อลื่น, ผ้าเบรก, หลอดไฟ, ปะเก็น (Gasket)
- ต้องมีการสำรองและเปลี่ยนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เครื่องจักรทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดความเสียหายระยะยาว
อะไหล่หลัก/อะไหล่ซ่อม (Repairable Spare Parts)

เป็นชิ้นส่วนที่มีราคาสูง สามารถซ่อมแซมหรือปรับปรุงกลับมาใช้งานใหม่ได้ เช่น มอเตอร์ไฟฟ้า, ปั๊มน้ำ, ชุดเกียร์, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์บางชนิด
- การจัดการอะไหล่ประเภทนี้มักเกี่ยวข้องกับการ “ซ่อม-เปลี่ยน-ซ่อม” เพื่อลดต้นทุนการซื้อใหม่ และต้องมีการเก็บอย่างดีเพื่อรอการซ่อมแซม
อะไหล่วิกฤต (Critical Spare Parts)

คือ ชิ้นส่วนที่หากขาดไปจะส่งผลให้การผลิตหรือการทำงานของอุปกรณ์หลักต้อง หยุดชะงักทันที (Downtime) และเป็นชิ้นส่วนที่ใช้เวลานานในการจัดซื้อหรือผลิต มักเป็นชิ้นส่วนเฉพาะของเครื่องจักรสำคัญในสายการผลิต, อุปกรณ์ควบคุม (Sensor) หลัก เช่น มอเตอร์ ปั๊ม คอนโทรลเลอร์
- ต้องมีสต็อกเก็บไว้เสมอ (Stock-out is unacceptable) และต้องมีการตรวจสอบอยู่ตลอดเวลา
อะไหล่ทั่วไป (Non-Critical Spare Parts)

คือ ชิ้นส่วนที่หากขาดไปจะไม่ส่งผลกระทบต่อการผลิตโดยทันที สามารถหาซื้อ/สั่งซื้อได้ง่ายและรวดเร็ว แต่ก็เป็นชิ้นส่วนที่สึกหรอง่าย เปลี่ยนบ่อย เช่น สกรู น็อต, อุปกรณ์ไฟฟ้าทั่วไป, ชิ้นส่วนโครงสร้างที่ไม่สำคัญมาก รวมไปถึง แม่เหล็กแรงสูง ด้วย
- ไม่จำเป็นต้องมีสต็อกจำนวนมาก แต่ต้องสต็อกตามรอบการใช้งาน เพื่อไม่ให้เกิดการขาดแคลน
ความสำคัญของ Spare Part
ความสำคัญของ Spare Part ไม่ได้อยู่แค่การสำรองเพื่อ เปลี่ยนของที่พัง เท่านั้นนะคะ แต่มันคือกลไกขับเคลื่อนที่เรามองไม่เห็นในหลายมิติ ได้แก่
ความต่อเนื่องในการผลิต (Operational Continuity)
ความต่อเนื่องในการผลิตเป็นความสำคัญหลัก ๆ ในโลกอุตสาหกรรมเลยค่ะ ลองนึกดูนะคะว่าโรงงานผลิตรถยนต์ต้องหยุดเดินเครื่องเพราะน็อตตัวเดียวขาดตลาด นั่นหมายถึงการสูญเสียรายได้หลายล้านบาทต่อชั่วโมงเลยนะ! การมี Critical Spare Parts ในสต็อกจึงเป็นการลงทุนเพื่อ ซื้อเวลา และ ป้องกันการหยุดชะงัก (Downtime Prevention)
ยืดอายุการใช้งานและลดต้นทุนในระยะยาว
การเปลี่ยนอะไหล่ตามกำหนด (Preventive Maintenance) จะช่วยให้เครื่องจักรทำงานได้เต็มประสิทธิภาพอยู่เสมอ เหมือนการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องรถยนต์นั่นแหละค่ะ การทำแบบนี้จะช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องจักรหลักที่มีราคาแพง และลดโอกาสที่ชิ้นส่วนเล็ก ๆ จะลามไปทำลายชิ้นส่วนใหญ่ที่ต้องใช้เงินซ่อมมหาศาลนั่นเอง
ความปลอดภัยและคุณภาพ
อะไหล่บางชิ้นเกี่ยวข้องโดยตรงกับความปลอดภัย เช่น ระบบเบรกของรถยนต์ หรือวาล์วนิรภัยในโรงงาน การใช้อะไหล่แท้และเปลี่ยนตามกำหนด จะช่วยรักษามาตรฐานความปลอดภัยและคุณภาพของผลผลิตไม่ให้ตกต่ำได้ค่ะ
การบริการลูกค้า (Customer Service)
สำหรับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบริการหลังการขาย เช่น ศูนย์ซ่อมรถยนต์ หรือร้านเครื่องใช้ไฟฟ้า ร้านอุปกรณ์เบเกอรี่ ฯลฯ การมีอะไหล่พร้อมในสต็อกหมายถึงว่าสามารถซ่อมแซมสินค้าได้รวดเร็ว ลูกค้าแฮปปี้ และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ได้ด้วยค่ะ
ทำไมทุกธุรกิจต้องมี Spare Part หรือ อะไหล่สำรอง?

จากข้างบน ทุกคนก็ได้เห็นแล้วว่า Spare Part สำคัญอย่างไร การขาดแคลนอะไหล่สำรองไม่เพียงแต่ทำให้งานช้าลง แต่คือ หายนะทางธุรกิจ เพราะจะเกิดผลกระทบลูกโซ่ทันที ดังนี้
- งานหยุด เสียรายได้ทันที หากเป็นเครื่องจักรหลักในสายการผลิต การหยุดเพียงนาทีเดียวหมายถึงการสูญเสียโอกาสในการขายและกำไรมหาศาลเลยค่ะ
- อาจต้องหยุดเครื่องจักรทั้งไลน์ ความเสียหายจากชิ้นส่วนเล็ก ๆ ที่ไม่ได้รับการแก้ไขทันท่วงที อาจลามไปสู่การชำรุดของระบบที่ซับซ้อนกว่า ทำให้ต้องปิดสายการผลิตทั้งหมด
- ค่าซ่อมอาจแพงขึ้น และเสียเวลารอนาน เมื่อชิ้นส่วนหลักเสียหายเพราะรออะไหล่นานเกินไป ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมใหญ่ก็จะสูงขึ้นมากเลยค่ะ และต้องทนรอชิ้นส่วนใหม่จากต่างประเทศ ซึ่งอาจใช้เวลานับสัปดาห์
- ลูกค้าเสียความเชื่อมั่น ในธุรกิจบริการหลังการขายหรือซ่อมบำรุง การดูแลที่ล่าช้าเพราะไม่มีอะไหล่ ทำให้ลูกค้าผิดหวังและอาจย้ายไปใช้บริการคู่แข่งได้ในที่สุดค่ะ
เทคนิค การจัดการอะไหล่ (Spare Parts Management)
การจัดการอะไหล่ (Spare Parts Management) ไม่ใช่แค่การซื้อมาเก็บไว้ในห้องเก็บของนะคะ แต่เป็นการบริหารจัดการที่ต้องใช้เทคนิค การเก็บอะไหล่มากเกินไปก็ทำให้ ต้นทุนจม แต่ถ้าเก็บน้อยเกินไปก็ทำให้ เกิดความเสี่ยง หรือขาดแคลนได้ค่ะ
จัดลำดับความสำคัญด้วย ABC Analysis
- ใช้หลักการ ABC Analysis ซึ่งเป็นการแบ่งอะไหล่ตามมูลค่าและการใช้งาน ก็คือ
- Group A (High Value, High Risk) อะไหล่ราคาสูงหรือวิกฤต (Critical) ต้องควบคุมอย่างเข้มงวดและนับสต็อกบ่อย ๆ
- Group B (Medium Value, Medium Risk) อะไหล่ที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ มีการควบคุมตามปกติ
- Group C (Low Value, Low Risk) อะไหล่ราคาถูกหรือหาง่าย อาจจะเก็บไว้จำนวนมากเพื่อประหยัดเวลาการสั่งซื้อ (มักจะเป็น Non-Critical Spare Parts)
กำหนดจุดสั่งซื้อที่เหมาะสม (Reorder Point)
การคำนวณว่าเมื่อไหร่ควรสั่งซื้ออะไหล่เพิ่ม (Reorder Point) เป็นสิ่งสำคัญมากค่ะ โดยจะต้องพิจารณาจาก
- อัตราการใช้ (Consumption Rate) อะไหล่ชิ้นนี้ถูกใช้บ่อยแค่ไหน?
- ระยะเวลารอคอย (Lead Time) ต้องใช้เวลานานเท่าไหร่กว่าอะไหล่จะมาถึงคลังสินค้าหลังสั่งซื้อ?
- สต็อกเพื่อความปลอดภัย (Safety Stock) ปริมาณอะไหล่ที่ต้องสำรองไว้เผื่อกรณีฉุกเฉินหรือความล่าช้าในการจัดส่ง
เก็บรักษาให้ถูกต้อง
อะไหล่ก็มีวันหมดอายุหรือเสื่อมสภาพตามการเก็บรักษานะคะ (เช่น ยาง, แบตเตอรี่, ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์) การจัดเก็บในอุณหภูมิที่เหมาะสม ป้องกันความชื้น และมีการหมุนเวียนสินค้า (First-In, First-Out: FIFO) จึงเป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจค่ะ
จัดเก็บอะไหล่สำรองอย่างไร ไม่ให้เสื่อมสภาพ?

การจัดซื้ออะไหล่มาสำรองต้องใช้เงินลงทุนสูง ดังนั้น การดูแลรักษาอะไหล่ในคลังให้คงสภาพดีที่สุดจนกว่าจะถูกนำไปใช้งานจริง ถือเป็นหัวใจสำคัญของการบริหารจัดการอะไหล่ที่ดี ถ้าหากเก็บไม่ดี อะไหล่ก็อาจพังไปเองก่อนได้ใช้จริง และกลายเป็น ต้นทุนสูญเปล่า ได้ค่ะ
สร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
สภาพแวดล้อมในการจัดเก็บเป็นตัวแปรสำคัญที่กำหนดอายุการใช้งานของอะไหล่เลยค่ะ โดยเฉพาะอะไหล่ที่ทำจากวัสดุที่อ่อนไหวต่อปัจจัยภายนอก
- ควบคุมความชื้นและอุณหภูมิ อะไหล่โลหะ (เช่น ลูกปืน, เฟือง) มีความเสี่ยงต่อการเกิดสนิมหากมีความชื้นสูง ส่วนอะไหล่ยางและพลาสติก (เช่น ซีล, โอริง) จะเสื่อมสภาพและแข็งตัวเร็วขึ้นหากเจอความร้อนหรือแสงแดดโดยตรง ควรเก็บในที่แห้ง อากาศถ่ายเทสะดวก และมีอุณหภูมิคงที่
- ป้องกันฝุ่นและสิ่งสกปรก ฝุ่นละอองขนาดเล็กสามารถทำลายพื้นผิวของอะไหล่ที่มีความละเอียดสูงได้ ดังนั้นควรเก็บอะไหล่ใน บรรจุภัณฑ์เดิม กล่อง หรือภาชนะที่ปิดมิดชิด เพื่อป้องกันการปนเปื้อน
จัดหมวดหมู่
การจัดหมวดหมู่อะไหล่สำรองให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ทำให้สามารถค้นหาอะไหล่ได้รวดเร็ว ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลาซ่อมแซมได้มากเลยค่ะ หลักการจัดเก็บที่ดีจึงต้องเน้นที่ความชัดเจนและเข้าถึงง่าย ดังนี้
- ติดป้ายกำกับให้ชัดเจน อะไหล่แต่ละชิ้นควรมีป้ายระบุ ชื่ออะไหล่, รหัส (Part Number), ตำแหน่งจัดเก็บ (Location) และอาจรวมถึง วันที่รับเข้า (Receipt Date) เพื่อให้หยิบได้ถูกต้องและรวดเร็ว
- จัดหมวดหมู่ตามหลักการ ควรจัดเก็บอะไหล่ตามระบบที่ช่วยให้ค้นหาง่าย เช่น
- ตามประเภทเครื่องจักร อะไหล่ของเครื่องจักร A อยู่โซน A
- ตามระบบ (Subsystem) อะไหล่ระบบไฟฟ้า, อะไหล่ระบบกลไก
- ตามขนาดและความถี่การใช้ อะไหล่ที่ใช้บ่อยควรอยู่ใกล้มือที่สุด
เลือกใช้ภาชนะจัดเก็บที่ถูกต้อง
ภาชนะจัดเก็บสำคัญมากนะคะ เพราะเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ปกป้องอะไหล่และจัดระเบียบพื้นที่ ดังนั้นจึงต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมกับขนาดและประเภทของอะไหล่ด้วย
- สำหรับอะไหล่ขนาดเล็ก/จำนวนมาก ควรใช้ กล่องใส่อะไหล่ กล่องพลาสติกใส กล่องแบบลิ้นชัก หรือชั้นวางที่มีช่องแบ่ง เพื่อให้มองเห็นและจัดเรียงอะไหล่ขนาดเล็ก เช่น สกรู, โอริง, ฟิวส์ ได้เป็นระเบียบและไม่ปะปนกัน
- สำหรับอะไหล่โลหะ ควรมีการ เคลือบน้ำมันหรือสารป้องกันสนิม ก่อนบรรจุลงในถุงหรือกล่องที่ปิดสนิทเพื่อยืดอายุการใช้งาน
ใช้หลักการหมุนเวียนและตรวจสอบสภาพ
อะไหล่ก็มีวันหมดอายุหรือเสื่อมสภาพแม้จะยังไม่ได้ใช้งาน ดังนั้นจึงควรใช้หลักการหมุนเวียนและตรวจสอบสภาพเพื่อให้มีอะไหล่สำรองที่มีคุณภาพพร้อมใช้งานตลอดค่ะ
- ใช้หลัก FIFO (First-In, First-Out) อะไหล่ที่รับเข้าคลังก่อน (ของเก่า) ต้องถูกนำออกไปใช้ก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้อะไหล่เก่าค้างสต็อกจนเสื่อมสภาพ
- การตรวจสอบสภาพ (Condition Monitoring) กำหนดรอบการตรวจสอบสภาพอะไหล่ในคลัง โดยเฉพาะอะไหล่ที่ทำจากยาง, แบตเตอรี่, หรือชิ้นส่วนที่ไวต่อความชื้น เพื่อให้แน่ใจว่ามันพร้อมใช้งานจริงเมื่อถึงเวลาจำเป็นค่ะ
สำหรับใครที่อยากรู้เพิ่มเติม สามารถอ่านได้ใน รวมเทคนิคจัดระเบียบ “คลังสินค้า”
เห็นกันแล้วใช่ไหมคะว่า Spare Part หรือ อะไหล่สำรอง ไม่ใช่แค่ชิ้นส่วนเล็ก ๆ ที่ถูกลืมในมุมคลังสินค้า แต่ว่ามันเป็น ตัวแปรสำคัญที่สุด ที่ช่วยให้ชีวิตประจำวันของเราและการทำงานของธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้อย่างราบรื่น
การมีอะไหล่พร้อมเหมือนกับการที่เรามี แผนสำรองฉุกเฉิน ที่ทำให้เราไม่ต้องตกใจเมื่อเกิดปัญหา มันช่วย ประหยัดงบ ในระยะยาว ช่วยป้องกันความเสียหายใหญ่ที่อาจตามมา ช่วย รักษาชื่อเสียง ทำให้เราพร้อมดูแลลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว และที่สำคัญที่สุดคือ ช่วย รักษาเวลา อันมีค่าไม่ให้สูญเสียไปกับการรอคอยอะไหล่
ขอบคุณข้อมูลจาก
- Billy Cassano. (2025). Understanding Spare Parts Management: Strategies, Tools, and Best Practices. https://tractian.com/en/blog/spare-parts-management
- Paul Cantalibre. (2025). Understanding Spare Parts: Importance, Benefits, and Budget-Control. https://www.thermofisher.com/blog/materials/understanding-spare-parts-importance-benefits-and-budget-control/
เพื่อไม่ให้พลาดข่าวสารสำคัญ และโปรโมชั่นพิเศษมากมาย สามารถติดตามเราผ่านช่องทางต่างๆได้หลากหลายช่องทางตามด้านล่างนี้เลย





